ประเทศเยอรมนี

 
  
ธงชาติเยอรมนี
 
  
ตราประเทศเยอรมนี
ข้อมูลประเทศเยอรมนี
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (German)หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เยอรมันหรือเยอรมนี (Germany)ตั้งอยู่ใจกลาง ทวีปยุโรป ล้อมรอบ ด้วยประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ คือเดนมาร์กอยู่ทางเหนือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศสอยู่ทางตะวันตก สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลียอยู่ทางใต้ สาธารณรัฐเชค และโปแลนด์อยู่ทางตะวันออก นับเป็นประเทศในยุโรป ที่มีจำนวนเพื่อนบ้านมากที่สุด นับตั้งแต่มีการรวมประเทศในปี ค.ศ. 1990 เยอรมันกลายเป็นประเทศสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวเชื่อมยุโรปตะวันตก และตะวันออกเข้าด้วยกัน แต่ยัง เชื่อมประเทศทางตอนใต้ ซึ่งอยู่ริมทะเล เมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย เนื่องจากเป็น ส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป เยอรมันจึงเป็นเหมือน สะพานเชื่อมระหว่าง ประเทศในยุโรปตอนกลาง และยุโรป ตะวันออก ยิ่งกว่านั้นการมีที่ตั้งอยู่ ใจกลางทวีปยุโรป ยังทำให้เยอรมันเป็นจุด เริ่มต้นที่ดีของการท่องเที่ยวแถบนี้ เยอรมันมีพื้นที่ประมาณ 357,000ตารางกิโลเมตร พรมแดนทางตอนเหนือ ของประเทศติดกับฝั่งทะเลเหนือ (North Sea) และทะเลบัลติค ทางตอนใต้จรดเทือกเขา แอลป์ ในรัฐ บาวา เรียน ระยะทางส่วนที่ยาวที่สุด จากเหนือจรดใต้ประมาณ 876 กิโลเมตร จากตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 640 กิโลเมตร ภูมิประเทศ ของเยอรมัน มีทิวทัศน์ งดงามแตกต่างกันไป หลายรูปแบบ ทั้งเทือกเขาสูงต่ำสลับกับที่ราบสูง และพื้นที่ลดหลั่นเป็นขั้น เนินเขา ทะเลสาบ ตลอดจน ที่ราบโล่ง กว้างใหญ่ ทางตอนเหนือเป็นแนวชายฝั่ง ทะเลเต็มไปด้วยเกาะแก่ง ทะเลสาปท้องทุ่งที่มีพุ่มไม้ปกคลุม เนินทราย และบริเวณ ปากแม่น้ำที่สวยงาม ส่วนทางตอนใต้แถบที่ราบสูงชวาเบียน บาวาเรียนเต็มไปด้วยเนินเขา และทะเลสาปขนาดใหญ่ มีบริเวณครอบคลุม ถึงเทือกเขาแอลป์ ในส่วนของเยอรมัน
ประวัติศาสตร์ประเทศเยอรมนี
 
  
พระเจ้าไกเซอร์แห่งปรัสเซีย
 
อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
เป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆในยุโรปกลางในสมัยยุคกลางภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจักรพรรดิ องค์แรกแห่งอาณาจักรคือชาร์เลอมาญสถาปนาพระองค์เป็นจักพรรค์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 800 และสืบเนื่องมาถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือจักพรรดิฟรานซิสที่ 2อาณาจักรได้สลายลงระหว่างสงคราม นโปเลียนจักรวรรดินี้ได้เป็นที่รู้จักในนามเต็มว่า จักรวรรดิโรมัน อันศักดิ์สิทธ ิ์แห่งชาติเยอรมันจักรวรรดิ ได้รวบรวมรัฐ ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เช่นเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก สาธารณ รัฐเชก สโลวิเนีย เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และพื้นที่บางส่วนของออสเตรีย โปแลนด์ ฝรั่งเศสและอิตาลี จักรวรรดิ ได้รวมอาณาจักรเล็กๆ ไว้มากมายมากกว่าหนึ่งร้อยอาณาจักร(เนื่องจากอาณาจักรเหล่านั้นซึ่งอยู่(ในเยอรมนียัง ไม่ได้รวมตัวกัน)แต่ไม่ได้รวมกรุงโรมเอาไว้ตามชื่ออาณาจักร
จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) 
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตยจักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมือง ระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[1]มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่ วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล) ชัยชนะของออคเตเวียนในยุทธการแอคทิอุม (2 กันยายน, 31 ปีก่อนคริสตกาล) วันที่สภาซีเนต ประกาศยกย่องออคเตเวียนให้เป็นออกุสตุส (16 มกราคม, 27 ปีก่อนคริสตกาล) จักรวรรดิโรมัน เคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษ และเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียง ของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้ จักรวรรดิ โรมัน ได้รวบรวม ตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้น ในภาค ตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตก ซึ่งเป็น บริเวณชายฝั่ง ทะเลซี่งในปัจจุบัน คือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของ ยิบรอลตาร์ ประชาชน ทั่วไปที่อาศัยอยู่ใน จักรวรรดิโรมัน เรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมัน ได้เริ่มมานาน ตั้งแต่ก่อนที่ จะ เปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจันด้วย ชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือ ประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครอง แผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum "ทะเลของเรา" อิทธิพลของโรมัน ได้ส่งผลต่อ การ พัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและ ระบบการ เมืองมาจนถึงทุกวันนี้
 
 
 
 
อิเล็กเตอร์ทั้งเจ็ดแห่งจักรวรรดิ
 
อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
เป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆในยุโรปกลางในสมัยยุคกลางภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจักรพรรดิ องค์แรกแห่งอาณาจักรคือชาร์เลอมาญสถาปนาพระองค์เป็นจักพรรค์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 800 และสืบเนื่องมาถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือจักพรรดิฟรานซิสที่ 2อาณาจักรได้สลายลงระหว่างสงคราม นโปเลียนจักรวรรดินี้ได้เป็นที่รู้จักในนามเต็มว่า จักรวรรดิโรมัน อันศักดิ์สิทธ ิ์แห่งชาติเยอรมันจักรวรรดิ ได้รวบรวมรัฐ ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เช่นเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก สาธารณ รัฐเชก สโลวิเนีย เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และพื้นที่บางส่วนของออสเตรีย โปแลนด์ ฝรั่งเศสและอิตาลี จักรวรรดิ ได้รวมอาณาจักรเล็กๆ ไว้มากมายมากกว่าหนึ่งร้อยอาณาจักร(เนื่องจากอาณาจักรเหล่านั้นซึ่งอยู่(ในเยอรมนียัง ไม่ได้รวมตัวกัน)แต่ไม่ได้รวมกรุงโรมเอาไว้ตามชื่ออาณาจักร
 
วัฒนธรรมและประชากรประเทศเยอรมนี
เยอรมันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับสองรองจากรัสเซีย ในจำนวนนี้ 7.3 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพมาจากตุรกี ยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงหลัง ค.ศ. 1960 ซึ่งนับมาถึงปัจจุบันก็เป็นรุ่นที่ 2 และ 3 แล้ว ชาวเยอรมันสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เยอรมันดั้งเดิมหลายเผ่า เช่น เผ่าซัคเซน และบาวาเรียน ซึ่งปัจจุบันเราจะไม่เห็นความแตกต่างนี้แล้ว แต่ยังมีคนเยอรมันบางกลุ่มที่ยังรักษาขนบธรรมเนียม และพูดภาษาเผ่า ดั้งเดิมของตน โดยใช้เป็นภาษาถิ่นต่าง ๆ กันไป การหลั่งไหลเข้ามาของ ชาวต่างชาติ ก่อให้เกิดความหลากหลายทาง วัฒนธรรมในเยอรมัน โดย เฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ ๆ เยอรมันเป็นสังคมเปิด กล่าวคือ ยอมรับผู้คนซึ่งอพยพเข้ามาหาที่หลบภัย และผู้หนีสงคราม การให้มีการเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน การเป็นกลุ่มผู้นำต่อ สู้เพื่อเสรีภาพ ในการประกอบอาชีพ และเลือกถิ่นที่อยู่ภายในสหภาพยุโรป
สภาพภูิมิอากาศประเทศเยอรมนี
ประเทศเยอรมนีมีภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป นั่นคืออากาศอาจจะร้อนจัดในฤดูร้อนและเย็นเฉียบในฤดูหนาว อย่างไรก็ตามแม้ในฤดูกาลเดียวกันก็มีความแตกต่างของอุณหภูมิและความชื้นในภาคต่างๆอยู่บ้าง ทางตอนเหนือในแถบที่ติดทะเลอากาศจะอบอุ่นกว่าทางใต้ในฤดูหนาว และในฤดูร้อนอากาศก็จะไม่ร้อนจัดจนเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวแถบตอนเหนือและตอนกลางของประเทศอาจจะแตกต่างกันระหว่าง -1๐ จนถึง 2.5๐ เซลเซียส ในขณะที่ในแถบภูเขาหรือทางตอนใต้ความแตกต่างอาจจะอยู่ระหว่าง -10๐ จนถึง -15๐ เซลเซียล เดือนที่ร้อนที่สุดคือ เดือนกรกฎาคมซึ่งอุณหภูมิอาจจะสูงถึง 35๐ เซลเซียล
ประเทศเยอรมนีมี 4ฤดูกาลคือ
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม)
ฤดูร้อน(มิถุนายน-สิงหาคม) ฤดูใบไม้ร่วง(กันยายน-พฤศจิกายน)
ฤดูหนาว(ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
- ฤดูใบไม้ผลิคือฤดูดอกไม้บานโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามท้องทุ่งและป่าเขา
- ฤดูร้อนเป็นฤดูที่มีฝนตกน้อยที่สุด ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางในประเทศเยอรมนีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และรสนิยมของนักท่องเที่ยวแต่ละคนฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและงานเทศกาลพื้นบ้านต่างๆ ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งสีสันของแมกไม้และสายหมอก
- ฤดูหนาวคือวันเวลาสำหรับผู้เล่นสกี ตลาดคริสต์มาส การละคร และดนตรีคลาสสิก สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเยือนประเทศเยอรมนีโดยไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็นมากเกินไปน่าจะเป็นเวลาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนตุลาคม
ภาษา
ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ
สกุลเงิน
ใช้สกุลเงินยูโร (Euro)เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 45 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราค่าเงินขณะที่ท่านแลก
ศุลกากร
สามารถจะนำเงินหรืออื่นๆ ที่ใช้แทนเงินสดเข้าเยอรมนีได้ โดยมีมูลค่าไม่เกิน 15,000 ยูโร ของขวัญอาหารไม่ต้องเสียภาษีหากนำเข้าใน ปริมาณที่เหมาะสม และเป็นไปเพื่อการบริโภคโดยส่วนตัว การนำเข้าเหล้า บุหรี่ น้ำหอมจากประเทศในกลุ่ม EUเป็นไปโดยเสรี แต่อาจ
จะต้องพิสูจน์ว่านำมาเพื่อใช้บริโภคส่วนตัว
สิ่งที่ควรทำ-ไม่ควรทำในประเทศเยอรมนี
1.ชาวเยอรมันรักความสะอาดและความมีระเบียบมาก การทิ้งขยะในที่สาธารณะเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย และแม้จะทิ้งขยะในถังก็ต้องทิ้งให้ถูกต้อง
2.ความเงียบสงบเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเยอรมันให้ความสำคัญมาก เพราะฉะนั้นโปรดรักษาความสงบ การส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ทั้งวัน วันเสาร์ระหว่างเวลา 18.00น. จนถึง 8.00น. และระหว่าง 12.00-15.00น. วันธรรมดาระหว่าง 20.00น.-8.00น. และระหว่าง 12.00น.-15.00น.โดยหลักการแล้วเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย
3.ชาวเยอรมันขับรถเร็วแต่เคารพกฏหมายอย่างเคร่งครัดและไม่ประนีประนอม ดังนั้นถ้าต้องการขับรถเที่ยวเอง ต้องแน่ใจว่ารู้กฏจราจรจริงๆอนึ่ง ถ้าท่านขับรถผ่านไปพบอุบัติเหตุ ท่านจะต้องหยุดรถเพื่อให้ความช่วยเหลือ มิฉะนั้นท่านจะมีความผิดตามกฏหมาย ถ้าท่านขับรถไปชนหรือเฉี่ยวรถที่จอดอยู่โดยเจ้าของรถไม่ได้อยู่ในที่นั้น ท่านจะต้องคอยพบเจ้าของหรือถ้าคอยไม่ได้ต้องทิ้งที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้ให้เจ้าของรถ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าท่านละเมิดกฏหมายในระดับที่ร้ายแรงมาก
4.ในการซื้อสินค้าหรือกระทำการใดก็ตามห้ามแซงคิว ผู้ที่มาก่อนย่อมจะต้องได้รับบริการก่อน การแซงคิวหรือเบียดเสียดเป็นการผิดมารยาทที่ร้ายแรงมาก
5.ถ้าท่านใช้บริการของการขนส่งมวลชน โปรดระมัดระวังอย่านั่งเก้าอี้ที่มีเครื่องหมายกากบาทสีขาว เพราะที่นั่งเหล่านี้เป็นที่นั่งสำรองสำหรับผู้ที่บาดเจ็บพิการหรือผู้ชรา
6.ชาวเยอรมันโดยทั่วไปไม่ใช่คนยิ้มง่าย แต่เขาจะให้ความช่วยเหลือถ้าได้รับการขอร้องอย่างสุภาพ
7.การจราจรในเยอรมนีเป็นแบบชิดขวา ทั้งนี้รวมถึงคนเดินถนนด้วย
8.โปรดให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เข็นรถเด็ก เช่น หลีกทางให้ไปก่อน ช่วยเปิดประตู หรือช่วยยกรถเด็ก
9.การตรงต่อเวลาเป็นมารยาทพื้นฐานที่สำคัญมาก
10.การไปเยี่ยมเยือนชาวเยอรมันจะต้องนัดล่วงหน้าเสมอ ควรมีของขวัญเล็กๆน้อยๆ เช่น ดอกไม้สักช่อ หรือไวน์ดีๆสักขวดไปฝากเจ้าบ้าน และอย่าอยู่นานเกินไป อนึ่งถ้าไม่ได้มีการเชิญรับประทานอาหารล่วงหน้า ชาวเยอรมันจะไม่เชิญแขกให้อยู่รับประทานอาหาร
11.ในการทักทายกันด้วยการสัมผัสมือ ผู้ที่อายุมากกว่า หรือสตรีจะเป็นฝ่ายยื่นมือให้ก่อน
12.สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งและคำว่านาซี ไม่ควรอยู่ในหัวข้อสนทนากับชาวเยอรมัน
เมืองน่าเที่ยวประเทศเยอรมนี
เมืองมิวนิค
เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะสวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มี ชื่อเสียงหลายแห่ง งานมหกรรมใหญ่ประจำปีทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และซีเมนส์ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบัน วิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับ สูงอีก 8 แห่ง
 
  
ปราสาทนอยชวานชไตน์
 
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
ปราสาทนอยชวานชไตน
เดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางไหล่เขาสู่ สะพานควีนแมรี่ ซึ่งเป็นจุด ชมวิวปราสาทที่ดีที่สุดชมความสวยงามของป่าไม้ และบ้านพักสไตล ์ชาเล่ย์ ที่ประดับประดาไป ด้วยดอกไม้หลากหลายสี ชมทิวทัศน์อันงดงามของตัว ปราสาทท ที่โดดเด่น มีทะเลสาบและธาร น้ำล้อมรอบ ภายในตัวปราสาทที่ตกแต่งไว้อย่างอลังการ ปราสาทนี้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 18–19รัชสมัยของพระเจ้าลุดวิกที่ 2ตามจินตนาการ ของคีตกวีชาวเยอรมนี ริชาร์ดวากเนอร์ พระสหายคู่ พระทัย ชม ห้องทรงงาน, ห้องบรรทม,ห้องฮอลล์ที่ใช้ในการแสดงโอเปร่าและคอนเสิร์ต รับฟัง
เรื่องราวอันน่าสลดใจ ของผู้ที่ สร้างปราสาทแห่งนี้
   
 
  
จตุรัสมาเรียนพลัทซ
 
จตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz)
Marienplatz (มาเรียนพลัทซ์) หรือ Mary's Square (จตุรัสมาเรีย หรือ จตุรัสแมรี่)
อยู่กลางใจเมืองของนครมิวนิค ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 (850 ปีมาแล้ว)ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง (Middle Ages) เป็น " หัวใจ " ของเขตเมืองเก่า และเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มชมเมือง ในยุคกลางที่นี่เคยเป็นตลาด แต่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการจัดงานสำคัญทางวัฒนธรรมต่างๆ มาเรียนพลาตซ์ มีสิ่งที่น่าชมมากมาย อาทิ Mariensaule รูปปั้นพระแม่มารีทองคำบนเขาสูงศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus ) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ Glockenspiel หอระฆัง ที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ เวลา 11 โมงเช้าในหน้าหนาว และ 5 โมงเย็นในหน้าร้อน รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U3/U6 และรถไฟ S-Bahn ลงที่สถานีมาเรียนพลาตซ์
   
 
  
เรสซิเดนซ์
 
เรสซิเดนซ์ (Residentz) 
พระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนมานาน ปัจจุบันห้องมีจำนวน 130 ห้อง ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมคือ Antiquariumห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่สวยงาม( Residentz ) ตั้งอยู่ที่ Residentzstrasse 1 ในย่านใจกลางเมือง เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ ในเมืองเมษายน-ตุลาคม เวลา 9.00-18.00 น. เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เปิดเวลา 10.00-16.00 น. ค่าเข้าชม 5 ยูโรเด็กไม่เสียเงิน โทร. +49 (0)89-2906-71
   
 
  
โอลิมปิกปาร์ก
 
โอลิมปิกปาร์ก (Olympic Park)
ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่สำหรับการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่มิวนิคเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1972 ปัจจุบันนี้โอลิมปิกปาร์กเปรียบเหมือนส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเมือง ที่นี่เป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กสมัยใหม่ที่สำคัญ 2 อย่างของมิวนิค คือ หอโทรคมนาคม สูง 290เมตร และสเตเดียมทันสมัยสร้างแบบหลังคาเต็นท์ด้วยแท่งสลิงเหล็กยึดแขวนแผ่นอะครีลิกโปร่งแสงที่คลุม เป็นหลังคาเหมือนใยแมงมุม ถ้าไม่กลัวความสูง สามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวชั้นบนสุดได้ (เสียค่าขึ้น 3 ยูโร) ภายในโอลิมปาร์กแห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำ และที่เล่นสเก็ตสำหรับผู้รักการออกกำลังกายทั้งหลาย โอลิมปาร์ก ตั้งอยู่ที่ Spiridon Louis-Ring 21 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-23.30 น. โทร. +49 (0) 89-3067-2414 รถไฟใต้ดินสาย U3 ลงสถานี Olympiazentrum
   
 
  
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน
 
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน (The Bavarian National Museum) 
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและศิลปะ โดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์นี้คือ คอลเลกชั่นงานศิลป์ชั้นยอด ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงอาร์ตนูโว จัดแสดงเต็มพื้นที่ทั้ง 3 ชั้น ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปในยุคต่าง ๆ ผ่านทางภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรม เครื่องดนตรี และอาวุธในสมัยโบราณพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียนตั้งอยู่ที่ Prinzregentenstenstrasse 3 เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. วันพฤหัสบดีเปิดเวลา 10.00-20.00 น. โทร +49 (0) 89-2112-401
   
 
  
ตลาดวิคทัวเลียน
 
ตลาดวิคทัวเลียน (Viktualienmarkt)
ถูกค้นพบในปี 1807 เป็นตลาดผักและผลไม้สดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ที่ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาซื้อและหาของกิน ตั้งแต่ผักสด ๆ จากฟาร์มไปจนถึงผลไม้นำเข้า รวมถึงแผงลอยที่ขายอาหารทานเล่น เช่น ชีส ฮอตด็อก หรือไส้กรอกอีกนับไม่ถ้วนViktualienmarket เปิดวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 7.00-20.00 น. วันเสาร์ 7.00-16.00 น. ปิดวันอาทิตย์ รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U-Bahn และรถไฟ S-Bahn ลงที่สถานีมาเรียนพลาตซ์
   
 
  
พิพิธภัณฑ์นอย พิกาโกเทค
 
พิพิธภัณฑ์นอย พิกาโกเทค (Neue Pinakothek) 
พิพิธภัณฑ์ศิลปะพินาโกเทคยุคใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับอัลเท่อ พินาโกเทค (The Alter Pinakothek ) จัดแสดงภาพวาดและงานปติมากรรมยุโรปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานศิลปะเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 19 คอลเลกชั่นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่เก็บรวบรวมคอลเลกชั่นดี ๆ ของงานศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์จากประเทศอังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส ในสมัยศตวรรษที่ 19อีกด้วยNeue Pinakothek ตั้งอยู่ที่ Barer Stasse 29 โทร. +19 (0) 89-2380-5195 เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. ปิดวันอังคาร ค่าเข้าชม 5 ยูโร วันอาทิตย์เข้าฟรี รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U2/U8 ลงที่ Theresienstasse รถรางสาย 27 ลงสถานี Pinakothek รถเมล์สาย 53 ลงป้าย Schellingstrasse
   
 
  
กรุงเบอร์ลิน
 
เมืองเบอร์ลิน 
เมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นเมืองใหญ่สุด มีประชากร 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต วงดนตรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่าวงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง มีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 11 แห่ง วิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 6 แห่ง
   
 
  
กำแพงเบอร์ลิน
 
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
กำแพงเบอร์ลิน (Berliner Mauer)
อดีตแห่งการแบ่งแยกที่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับคนรุ่นหลัง จะมีไม้กางเขนปักอยู่ นั่นเป็นบริเวณที่ผู้หลบหนีในอดีตถูกยิงเสียชีวิตตรงนั้น เขาเลยเอาไม้ กางเขนมาปักเอาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ
   
 
  
พิพิธภัณฑ์ชาร์ลี เช็คพ้อยส์
 
พิพิธภัณฑ์ชาร์ลี เช็คพ้อยส์ (CHARLIE CHECKPOINT)
จุดตรวจคนเข้า-ออก ระหว่าง 2 ฝั่งเบอร์ลิน ซึ่งท่านจะได้เห็นภาพของความพยายาม ในการหลบหนี ของผู้คนจากฝั่งตะวันออก สู่ฝั่งตะวันตก
   
 
  
ประตูบรานเดนบวร์ก
 
ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor/Brandenburg Gate)เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลินเพราะเป็นประตูเมืองเก่า ได้รับการก่อสร้างระหว่าง ค.ศ.1788-91 ตามศิลปะแบบโรมัน  โดยฝีมือ C.G.Langhans ตั้งอยู่ที่ Pariser Platz และถนน Unter den Linden  สถานที่แห่งนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสุข  และมีความสำคัญโดยเป็นจุดแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็นสองส่วนคือตะวันออกและตะวันตก ด้านบนมีรูปปั้นชื่อ Quadrigaสูง 5เมตร มีราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria)ควบขับรถเทียมม้า 4 ตัว มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเบอร์ลิน  ในมือถืออิสริยาภรณ์กางเขนเหล็กกับพวงมาลัยใบมะกอกและ นกอินทรีซึ่งเป็นสัตว์ที่แสดงอำนาจของยุคปรัสเซียร์ (Preussen/Prussia)
   
 
  
พระราชวังชาล็อตเทนเบิร์ก
 
พระราชวังชาล็อตเทนเบิร์ก (Schloss Charlottenburg)
พระราชวังอันสวยงาม เดิมเป็นที่ประทับฤดูร้อนในสมเด็จพระราชินีโซเฟียชาล็อต สร้างปลาย ศตวรรษที่ 17 และมีการต่อเติมเรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 เดิมมีชื่อว่า Lietzenburg เป็นพระราชวัง สำหรับฤดูร้อนของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 1 ต่อมาเมื่อพระราชินีคือพระนางโซเฟีย ชาล็อตสวรรคตลง จึงเปลี่ยนชื่อพระราชวังตามชื่อของพระนางเพื่อเป็นการรำลึกถึง นางฟ้าบนยอดปราสาทหมุนได้ ตามแรงลม ดังนั้นแต่ละวันเธอจะหันหน้าไปคนละทิศกัน เชื่อว่าถ้าเธอหันหน้ามาทางทิศที่เราอยู่จะ โชคดี หรือไม่ก็เดินหามุมไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอเอง
   
 
  
อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ
 
อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ (Siegessaeule) 
สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคปรัสเซีย  เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการต่อต้านพวกเดนมาร์ก ในปี1864 ออสเตรีย ในปี 1866 และฝรั่งเศส ในปี 1870-71  เป็นเสาสูงประมาณ 69 เมตร  ออกแบบก่อสร้างโดย J.H.Strack  ระหว่าง ค.ศ.1865-73 แต่ชาวเบอร์ลินมักจะเรียกสถานที่นี้ว่า Golde Else หรือ Victoria แห่งเบอร์ลิน  บนยอดเสาคือรูปปั้นของวิคตอเรีย (Victoria)เทพีแห่งชัยชนะ ถือพวงมาลัยจากใบมะกอก (สัญลักษณ์ของชัยชนะ) กับหอก  รูปปั้นนี้หนัก 35 ตัน สูง 8 เมตร มีบันได 285 ขั้น  สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้  บริเวณนี้ทั้งหมดเรียกว่า Grosser Stern แปลว่าดาวดวงใหญ่ เพราะมีถนนห้าสายใหญ่มาบรรจบกันที่อนุสาวรีย์นี้ ถ้ามองจากข้างบนลงมาจึงดูคล้ายรัศมีของดาวที่เป็นแฉก นอกจากนี้บริเวณนี้ยังใช้เป็นที่จัดงาน Loveparadeหรือ Techno-Party อีกด้วย
   
 
  
พอตสดัม
 
เมืองพอตสดัม (POTSDAM) 
อีกหนึ่งเมืองสวยของอดีตเยอรมันตะวันออก ซึ่งถูกซ่อนเก็บไว้หลังกำแพง ความแตกแยก
มากว่า 40 ปี
 
  
พระราชวังซองส์ซูซี
 
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
พระราชวังซองส์ ซูซี (SANS SOUCI)
ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ในความหมายว่า “ไร้กังวลหรือไกลกังวล” ซึ่งมีความงดงามไม่แพ้พระราชวัง แวร์ซายส์ เป็น​ที่ประทับฤดูร้อนของ​พระมหากษัตริย์ (ไร้กังวลหรือไกลกังวล) นี้​ได้กลาย​เป็นมรดกโลก ภายใต้การคุ้มครอง ขององค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ​และมีหน่วยงานด้านการดูแลพิพิธภัณฑ์คอยบำรุงรักษา ปัจจุบันนี้มีคน เข้าเยี่ยมชมมากกว่าปีละ ๒ ล้านคนจากทั่วโลก คฤหาสน์ไกลกังวลนี้​เป็น​พระราชวังฤดูร้อน ของ​พระเจ้า เฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซียค่ะ​หาก​จะเปรียบเทียบก็ประมาณว่า ​เป็นคู่แข่ง​กับ​พระราชวังแวร์คซายส์ เห็น​จะ​ได้ ​แต่คฤหาสน์ไกลกังวลนี้ขนาด​จะเล็กกว่ามาก ผู้ออกแบบ​คือ Georg Wenzeslaus von Knobelsdorff ตาม​พระบัญชาของเฟรเดริคมหาราช​ที่ทรงประสงค์​จะมี​ที่พักผ่อนอันสงบจากงานพิธีในกรุงเบอร์ลิน ​พระราชวังหลังนี้ใหญ่กว่าวิลล่าขนาดใหญ่สองชั้นไม่มากนัก ​และมีห้องหลัก ๆ​ แค่ ๑๐ ห้อง ​แต่ปลูกสร้างบนเนิน​ที่ทำ​เป็นเทอร์เรซไล่เลียงลงเนิน​ไปตามลำดับ
เมืองโคโลญจ์ เมืองนี้ประกอบด้วยโบสถ์สวยงามมากมาย มีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เป็นเมืองเก่ากว่า 2000 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศิลปะ ดนตรี ร่วมสมัย รวมทั้งมหาวิทยาลัยโคโลญจ์ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1388 ปัจจุบันมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาระดับสูงอื่น ๆ อยู่เกือบแสนคน
 
  
มหาวิหารโคโลญจ์
 
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
มหาวิหารโคโลญจน์ (Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom) สร้างสำเร็จพร้อมกับมีพีธีวางหลักหินบันทึกข้อมูลการก่อสร้าง (foundation stone) โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1791แต่มีปัญหาให้ต้องหยุดพักการก่อสร้างไปบ้าง จึงต้องใช้เวลากว่าหกร้อยปีจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ มหาวิหารโคโลญจน์เป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น (แม้ปัจจุบันก็ยังติดอันดับ ของโลกลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก(Gothic) เป็นหอคอยแฝดสูง 157เมตร กว้าง 86 เมตร ยาว 144 เมตร สร้างเพื่ออุทิศให้ นักบุญปีเตอร์(Saint Peter) และ พระแม่มารี (Blessed Virgin Mary) ปัจจุบันมหาวิหารโคโลญจน์นับจุดหมายสำคัญของเมืองโคโลญจน์และประเทศเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1996
เมืองแฟรงค์เฟิร์ท ( Frankfurt )
เมืองซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำไมน์ เป็นเมืองที่มีประวัติต่อเนื่องอันยาวหลายศตวรรษเคยเป็นสถานที่ ซึ่งกษัตริย์ และจักรพรรดิหลายพระองค์เคยใช้ ประกอบพิธีราชาภิเษก ในปัจจุบัน แฟรงเฟิร์ตกลาย เป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคมเชื่อมโยงไปทั่ว ประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงทางการค้าของ เยอรมัน
 
  
จัตุรัสโรเมอร์
 
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
จัตุรัสโรเมอร์ 
ที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ความสำคัญของที่แห่งนี้มี เดอะไคเซอร์ซาล หรือห้องจักรพรรดิที่มีการฉลองพิธีการสวมมงกุฎอันยิ่งใหญ่ ตรงกลางจัตุรัสเป็น น้ำพุแห่งความยุติธรรมด้านหน้าเป็นบ้านโครงไม้สมัยกลางที่ได้รับการบูรณะแล้ว

ความคิดเห็น